วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปากแพรก...บันทึกไว้ในความทรงจำ



18 สิงหาคม 2551นายกเทศมนตรีเมืองกาญจนบุรี กล่าวอีกว่า "เราเห็นถนนในเมืองยังมีสภาพกำแพงเมือง มีประตูเมือง  ศาลหลักเมือง มีจวนผู้ว่าเก่าแก่ และมี ร.3 ประดิษฐาน เมื่อเราส่งเสริมการท่องเที่ยวในย่านของเมืองเก่า มันก็จะเชื่อมโยงกันตั้งแต่สักการะศาลหลักเมืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองกาญจน์ ต่อมาก็เป็นอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 ที่ทรงย้ายเมืองกาญจน์มาตั้งอยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วก็มีท่าเรือล่องแพ เราจึงคิดจัดตั้งถนนคนเดินขึ้นเพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว และอนุรักษ์สินค้า การแสดงโบราณเอาไว้ รวมถึงสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่อยู่บนถนนปากแพรกนี้ด้วย"

....ก็ในยุคท่านนี่หละที่ไปไม่รอด ฮึๆๆๆ...

สำหรับถนนคนเดิน 177 ปี ปากแพรก คาดว่าจะเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้ามาเที่ยวชมได้ในเดือนกันยายน ศกนี้ โดยระยะแรกจะจัดขึ้นเฉพาะทุกเย็นวันอาทิตย์ก่อน แล้วจึงขยายวันเวลาต่อไป โดยจะเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพื่อเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนต่อไปในอนาคต"

...ฮ่วย!!บ่อมีหยังเลย เลิกซะแล้ว...


ปี 2551ในช่วงเวลาเดียวกัน   นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวเสริมว่า ด้วยความโดดเด่นของเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนาน และสถาปัตยกรรมโบราณที่สวยงาม ทำให้สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ได้ผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐและเอกชนในจังหวัด ร่วมกันฟื้นฟูประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น ณ ถนนปากแพรกสายนี้ พร้อมทั้งสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม โดยเตรียมความพร้อมจัดถนนคนเดินขึ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังที่มาเที่ยวชมมีโอกาสได้ศึกษาวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และชื่นชมสินค้าพื้นเมือง การขับกล่อมดนตรีของศิลปินทุกกลุ่ม รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านบนถนนสายนี้

เล่นซะเคลิ้มเลย...มีต่ออะ....

สำหรับความโดดเด่นของถนนคนเดินสายนี้ คือเป็นแหล่งของกิน เป็นศูนย์รวมงานหัตถกรรม แกะสลัก แหล่งจับจ่ายใช้สอยของพื้นเมืองจากฝีมือของชาวบ้าน เช่น ผ้าขาวม้าจากหนองขาว เครื่องจักรสานที่ทำจากไม้ไผ่ จากหวาย ซึ่งมีมากในเมืองกาญจน์ นอกจากนี้ยังเป็นที่พบปะของศิลปินทั้งด้านศิลปะและดนตรี การแสดงศิลปะพื้นบ้านต่างๆ เช่นการแสดงโขนจิ๋ว ของเด็กอนุบาล เรียกว่า ใครอยากโชว์งานศิลปะ อยากเล่นดนตรี มาโชว์ได้ที่นี่

..เดี๋ยวนี้มีหรือ???...


และแล้ว เมืองกาญจน์ก้อมี ถนนคนเดิน.....

เปิดตัวล่าสุด 15 มีนาคม 52  พร้อมๆ กับกีฬาเยาวชนแห่งชาติ 52 (กาญจนบุรีเกมส์) โดยช่วงที่มีกีฬาจะปิดถนนให้เดินทุกวัน ตั้งแต่ วันที่ 15-26 มีนา เริ่ม  4 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม และหลังปิดกีฬา จะมีทุก เสาร์-อาทิตย์  เย็น 4 โมง - 4 ทุ่ม เหมือนเดิม หัวงานจะเริ่มตั้งแต่หลังประตูเมือง (ร.3) ยาวไปตามถนนปากแพรกไปทางวันญวณ 

...แมงโม้เพียบเลย ฮึๆๆ…เพราะพอเสร็จงานเพียงไม่กี่เดือน ถนนคนเดิน ณ ปากแพรกก็หายไป..ช่างเลวร้ายเสียจริง...


...ฉัน...ปากแพรก ก็เพียงอยากจะบันทึกไว้ว่า...ใคร...โม้อะไรไว้.. และฉันจะไม่ยอมให้ถูกหลอกอีกแล้ว...!!!??? คนจัยร้ายยยยยยยยยยย...


...

ปากแพรก...เพิ่อใคร



ฉัน...ปากแพรก ฉัน! อาจจะแก่เกินไปสำหรับใครบางคนที่รักความศิวิไลซ์...


ความศิวิไลซ์นะหรือ??? ฉันผ่านมาทุกยุคทุกสมัยหละ แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ตั้งแต่สมัยอยุทธยามันก็ศิวิไลซ์ขึ้นเรื่อยๆอะนะ...


แม้กระทั้งบ้านเรือนสวยงามสมัยใหม่ หรือบ้านบูติคทันสมัยฉันก็ไม่รู้สึกอะไรหรอกนะ.... แต่สิ่งฉันโหยหานะหรือ???...ฉันโหยหา บ้านไม้อาคารเก่า..ที่เคยสร้างมากว่าร้อยปีตลอดชั่วชีวิตฉัน

แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่บ้านเรือนเหล่านั้นจะกลับมาใหม่ ... แต่ที่ยังคงอยู่นี่ซิที่ฉันโหยหา...เพื่อให้มันคงอยู่คู่กับฉันตลอดไป


ฉันมั่นใจนะ ว่าอาคารบ้านเรือนเกือบร้อยปีของฉัน...ปากแพรก  มันมีเอกลักษณ์และมีเรื่องราวมีเรื่องเล่าที่ย้าวววววววววววววว ยาววววววววววววว ย้อนไปสมัยอยุทธยานู๊นแน่ะ...

 
ดังนั้นฉัน...ปากแพรก จึงไม่เหมาะกับผู้รักความศิวิไลซ์ ผู้รักความทันสมัยนะ... ขอบอก..ขอบอก... ฉันเหมาะกับผู้ที่ชอบอะไรๆในแบบย้อนยุคย้อนสมัย มีมุมมองใหม่ๆที่ไม่เหมือนใครๆ ตะหากหละ...

เธอเป็นเช่นนั้นหรือไม่???  หากใช่!!! ฉัน...ปากแพรก ...ก็เพื่อเธอคนนั้นหละ!!!

 ...

ด่วน!!!เจอบทความปากแพรกที่ไหน กด Like หรือ share ที่นั้น ...ก่อนที่เอกชนอย่างพวกเขา...จะหมดลม!!!!
ดูข้อมูลพวกเขาได้ที่ www.facebook.com/pakprak
เพื่อสนับสนุนให้ถนนสายประวัติศาสตร์เส้นนี้...ยืนยาวต่อไป...
เพราะที่นี่ "ภาครัฐไม่ใส่ใจ"...ฉันหละหน่าย!!!
...


วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556

กำแพงเมืองกะป้อมที่หายไป...ขอคืนได้ไหมจ๊ะ




จารึกบนแผ่นไม้สักที่ศาลหลักเมืองกาญจนบุรี หลักที่ ๑๔๓ กล่าวไว้ว่า..

" กำแพงเมืองที่ปากแพรกนี้ เดิมเป็นแค่การปักเสาระเนียดบนเชิงเทิน ต่อมาจึงมีการสร้างกำแพงก่ออิฐถือปูน ดังที่ปรากฏในจารึก ในปัจจุบัน ป้อมและกำแพงดังกล่าวเหลือให้เห็นเพียงประตูด้านหน้า ซึ่งมีอักษรจารึกว่า ...เมืองกาญจนบุรี พ.ศ. ๒๓๗๔..., แนวกำแพงด้านริมน้ำ, แนวกำแพงด้านหลังที่โรงเรียนกาญจนานุเคราะห์และป้อมมุมเมืองด้านวัดไชยชุมพลชนะสงครามเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมพังลงมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ และมีการรื้อเพื่อสร้างเป็นโรงงานกระดาษ ใน พ.ศ. ๒๔๘๑ "


ฉัน..ปากแพรก นอกจากจะมีประตูเมืองก่ออิฐถือปูนยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้วนะ แน่นอนต้องมีกำแพงเมืองกาญจนบุรีด้วย แต่มันค่อยๆหายไปตามกาลเวลาอันแสนเศร้า....


กำแพงเมืองของฉันนี่เป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ด้านบนมีใบเสมา ผังกำแพงเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 210 เมตร ยาว 480 เมตร อีกด้วยนะ...แต่ว่า...ทำไมกำแพงเหลือสั้นจู๊ดดดดดดจู้หละจ๊ะ...หายไปไหนหมดนะ...สงสัยจัง!!!


แน่นอน!!! มีกำแพงเมืองก็ต้องมีป้อมประจำมุมด้วยอะนะจ๊ะ


ป้อมประจำมุมมี 4 ป้อม ป้อมกลางกำแพงด้านหน้า 1 ป้อม และป้อมเล็กกลางกำแพงด้านหลัง 1 ป้อม มีประตู 8 ประตู ประกอบด้วย ประตูเมือง 6 ประตู และประตูช่องกุด 2 ประตู ซึ่งได้ชำรุดลงเกือบทั้งสิ้น คงเหลือเฉพาะประตูเมืองด้านหน้า ซึ่งหันหน้าสู่แม่น้ำแควใหญ่ และกำแพงเมืองบางส่วนที่อยู่ติดกัน โดยได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2549 แต่...ก็นะเฮอ!!!

อยากบอกเพียงว่า "อูยยยยยยยยย เสียดายโบราณสถาน เรื่องราวเยาะแยะมากมายวุ่ยวายปวดหัวจ๊ะ...ว่าแต่ว่าจะคืนให้ป่าวอะ..."


 ...

ด่วน!!!เจอบทความปากแพรกที่ไหน กด Like หรือ share ที่นั้น ...ก่อนที่เอกชนอย่างพวกเขา...จะหมดลม!!!!
ดูข้อมูลพวกเขาได้ที่ www.facebook.com/pakprak
เพื่อสนับสนุนให้ถนนสายประวัติศาสตร์เส้นนี้...ยืนยาวต่อไป...
เพราะที่นี่ "ภาครัฐไม่ใส่ใจ"...ฉันหละหน่าย!!!
...



ประตูเมืองกาญจนบุรีก็คือฉัน..ปากแพรก



   หลังจากสงครามเริ่มสงบ เจ้าพวกพม่าไม่มาวุ่นวายกับสยามประเทศมากนัก ยุทธศาสตร์การรบเปลี่ยนไป ฉัน..ปากแพรก มีชัยภูมิในการตั้งรับข้าศึกได้ดีกว่าเก่า อีกทั้งยังสะดวกในการค้าขายกับเมืองต่างๆอีกด้วย   รัชกาลที่ 3 ท่านได้ทรงย้ายเมืองกาญจนบุรีจากลาดหญ้า มาตั้งยังอยู่กับฉัน..ปากแพรก  ฉันหละดีจั้ย...ดีใจ!!! ภูมิจั้ย...ภูมิใจ!!!



ประตูเมืองที่สร้างก่อด้วยอิฐ ด้านบนตัวอักษรระบุปี พ.ศ. 2374 ที่สร้างเมือง ตรงนี้หละที่เป็นจุดเกิดใหม่ของฉัน..ปากแพรก เป็นชุมชนปากแพรก ถนนปากแพรก ตลาดปากแพรก กระทั่งฉัน..ปากแพรก อายุกี่ปีเค้าก็นับจากตรงนี้หละจ๊ะ ดีใจจังแก่น้อยลงหน่อย!!!

สถานที่ที่ไม่ใช่ ชุมชน ถนน ตลาด ปัจจุบันก็กลายเป็นตำบลปากแพรกไป

ส่วนฉัน...ลั่นลา...ณ เขตเมืองกาญจน์จร้า...


พูดถึงประตูเมืองกาญจนบุรีอยู่มาน้านาน รักษารูปร่างได้ดีมั๊กๆ  ด้านหน้าประตูมีพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 3 ส่วนด้านข้างเป็นแนวกำแพงเมืองเก่าตั้งอยู่บริเวณชุมชนใหม่ของฉัน...ปากแพรก


บริเวณประตูเมืองเก่า จะใช้เป็นที่แบ่งฉันออกเป็นสองชุมชนจ๊ะ ซ้ายมือ เรียกว่า บ้านใต้ ขวามือเรียกบ้านเหนือ


มีบ้านใต้ก็ต้องมีวัดใต้ มีพระดังหลวงปู่เปลี่ยน หรือที่เรียกกันว่า หลวงพ่อวัดใต้นั้นแหละ เป็นพระเกจิที่เป็นที่เคารพนับถือของคนเมืองกาญจน์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก่อนถึงวัดใต้นี่มีโรงงานกระดาษแห่งแรกของไทย ที่เอาใช้ทำธนบัตรหนึ่งบาท ห้าบาท ก็ถูกทิ้งร้างค้างเติ่งอยู่ที่ชุมชนบ้านใต้นี่หละ...เฮอ!!!...ทำไมไม่ทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวนะ...เฮอ...เฮอ...เฮอ..

ทีนี้บ้านเหนือจะไม่มีวัดก็ใช่ที่!!!...แน่นอนก็ต้องเป็นวัดเหนือซิ...อยู่ติดกับวัดญวนเลยยย!!! ที่วัดเหนือนี่มีหลวงพ่อดีเป็นพระเกจิดังมาก...

สรุปว่าที่ถนน ชุมชน ตลาด ของฉัน..ปากแพรกนี่ มีพระคุ้มตลอดจ๊ะ...
.

และบ้านทั้งสองฝั่งของประตูเมืองกาญจนบุรีก็คือฉัน..ปากแพรก...


 ...

ด่วน!!!เจอบทความปากแพรกที่ไหน กด Like หรือ share ที่นั้น ...ก่อนที่เอกชนอย่างพวกเขา...จะหมดลม!!!!
ดูข้อมูลพวกเขาได้ที่ www.facebook.com/pakprak
เพื่อสนับสนุนให้ถนนสายประวัติศาสตร์เส้นนี้...ยืนยาวต่อไป...
เพราะที่นี่ "ภาครัฐไม่ใส่ใจ"...ฉันหละหน่าย!!!
...



กำเหนิดปากแพรก



ฉันจำได้ว่า...เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเริ่มมีคนรู้จักชื่อฉัน...ปากแพรก...แล้วหละ  ขณะนั้นชายแดนด้านตะวันตกของแผ่นดินสยามประเทศ ไม่เคยเว้นว่างจากการถูกข้าศึกรุกรานเลย



  กองทัพพม่าเคลื่อนทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จนลุเข้าพื้นของปากแพรก หลายครั้งเชียวหละจ๊ะ

เดือนอ้าย ปีมะเมีย พ.ศ. 2317  อะแซหวุ่นกี้ ให้งุยอคงหวุ่นยกกองทัพตามพวกมอญมาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาถึงท่าดินแดงเห็นไทยตั้งค่ายอยู่  ก็เข้าตีค่ายไทย  กองทัพของพระยายมราชมีกำลังน้อยกว่า ก็แตกถอยหนีมาอยู่กับฉัน ณ ปากแพรก นี่หละ



เจ้าพม่าที่ชื่อแปลก...งุยอคงหวุ่น...เห็นว่าชนะกองทัพสยามของฉันได้ง่ายๆจึงได้ใจยกกำลังเข้ามาตั้งบนดินแดนของฉัน..ปากแพรก ฉันหละเคื่องเคือง



พระยายมราชก็ถอยร่นจากฉันไปชั่วคราวไปตั้งอยู่ที่ดงรังหนองขาว  เจ้า..งุยอคงหวุ่น..ก็ให้มองจายิด คุมกำลัง 2,000 คน  ตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรก  เที่ยวปล้นทรัพย์จับผู้คนที่ฉันรู้จักในแขวงเมืองกาญจนบุรี ส่วนตัวเจ้า..งุยอคงหวุ่น.. คุมกำลัง 3,000 คน  ยกลงไปปฏิบัติการในแขวงเมืองราชบุรี เมืองสมุทรสงคราม และเมืองเพชรบุรี  จนถูกล้อมไว้ที่บางแก้ว



ส่วนหัวหน้พม่ารามัญ อะแซหวุ่นกี้ ที่คอยอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ  เห็นกองทัพงุยอคงหวุ่นหายไปนาน  จึงให้ตะแคงมรหน่อง ยกกำลัง 3,000 คน  ตามเข้ามาเหยียบผืนดินสยามของฉัน ณ ปากแพรกอีกครั้ง...ฉันหละเจ็บปวดหัวใจมากๆเชียว...

ครั้นอะแซหวุ่นกี้ ได้ทราบว่า งุยอคงหวุ่นถูกฝ่ายไทยล้อมไว้ที่บางแก้ว  จึงให้มองจายิดยกกำลังที่มี ลงมาช่วยงุยอคงหวุ่นที่บางแก้ว  ส่วนตนเองยกกำลังลงมาตีค่าย พระยายมราชแขกที่หนองขาว ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายไทยได้ จึงถอยกำลังไปตั้งอยู่ที่ปากแพรก เห็นไหมฉันถูกพม่ามาเหยียบย้ำหลายครั้งงหลายครา...จนฉันเชื่อว่านี่หละคือเรื่องราวต้นกำเหนิดของฉัน...ปากแพรก...