ฉันจำได้ว่า...เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเริ่มมีคนรู้จักชื่อฉัน...ปากแพรก...แล้วหละ ขณะนั้นชายแดนด้านตะวันตกของแผ่นดินสยามประเทศ
ไม่เคยเว้นว่างจากการถูกข้าศึกรุกรานเลย
กองทัพพม่าเคลื่อนทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ จนลุเข้าพื้นของปากแพรก
หลายครั้งเชียวหละจ๊ะ
เดือนอ้าย ปีมะเมีย พ.ศ. 2317 อะแซหวุ่นกี้
ให้งุยอคงหวุ่นยกกองทัพตามพวกมอญมาทางด่านเจดีย์สามองค์
มาถึงท่าดินแดงเห็นไทยตั้งค่ายอยู่
ก็เข้าตีค่ายไทย
กองทัพของพระยายมราชมีกำลังน้อยกว่า ก็แตกถอยหนีมาอยู่กับฉัน ณ ปากแพรก นี่หละ
เจ้าพม่าที่ชื่อแปลก...งุยอคงหวุ่น...เห็นว่าชนะกองทัพสยามของฉันได้ง่ายๆจึงได้ใจยกกำลังเข้ามาตั้งบนดินแดนของฉัน..ปากแพรก
ฉันหละเคื่องเคือง
พระยายมราชก็ถอยร่นจากฉันไปชั่วคราวไปตั้งอยู่ที่ดงรังหนองขาว เจ้า..งุยอคงหวุ่น..ก็ให้มองจายิด คุมกำลัง
2,000 คน ตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรก
เที่ยวปล้นทรัพย์จับผู้คนที่ฉันรู้จักในแขวงเมืองกาญจนบุรี
ส่วนตัวเจ้า..งุยอคงหวุ่น.. คุมกำลัง 3,000 คน
ยกลงไปปฏิบัติการในแขวงเมืองราชบุรี เมืองสมุทรสงคราม
และเมืองเพชรบุรี จนถูกล้อมไว้ที่บางแก้ว
ส่วนหัวหน้พม่ารามัญ อะแซหวุ่นกี้
ที่คอยอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ
เห็นกองทัพงุยอคงหวุ่นหายไปนาน
จึงให้ตะแคงมรหน่อง ยกกำลัง 3,000 คน
ตามเข้ามาเหยียบผืนดินสยามของฉัน ณ ปากแพรกอีกครั้ง...ฉันหละเจ็บปวดหัวใจมากๆเชียว...
ครั้นอะแซหวุ่นกี้ ได้ทราบว่า
งุยอคงหวุ่นถูกฝ่ายไทยล้อมไว้ที่บางแก้ว
จึงให้มองจายิดยกกำลังที่มี ลงมาช่วยงุยอคงหวุ่นที่บางแก้ว ส่วนตนเองยกกำลังลงมาตีค่าย
พระยายมราชแขกที่หนองขาว ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายไทยได้
จึงถอยกำลังไปตั้งอยู่ที่ปากแพรก เห็นไหมฉันถูกพม่ามาเหยียบย้ำหลายครั้งงหลายครา...จนฉันเชื่อว่านี่หละคือเรื่องราวต้นกำเหนิดของฉัน...ปากแพรก...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น