เป็นที่รับรู้กันดีอยู่แล้วว่า
เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก ลำดับที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้น ได้ทรงปฏิบัติพระศาสนกิจเพื่อประเทศชาติและประชาชนในด้านต่างๆ
มากมายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอดพระชนม์ชีพ จนได้รับการขนานพระนามว่า “พระของประชาชน”
เป็นความปลื้มปีติของพุทธศาสนิกชนคนไทยที่มีโอกาสได้ร่วมแสดงมุทิตาจิตต่อองค์สมเด็จพระสังฆราชที่ทรงเจริญพระชันษาครบ
100 ปี เป็นพระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทยที่ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายกที่ยาวนานที่สุดแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
และนับจากนี้ไปคือ
เรื่องราวบางแง่บางมุมของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายกที่น่าสนใจและน่าศึกษาเรียนรู้เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชีวิต
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสังฆปริณายก ประสูติเมื่อเวลาราว 4 นาฬิกาหรือตีสี่ วันศุกร์ขึ้น 4 ค่ำ
เดือน 11 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2456 ณ บ้านเลขที่ 367 ถนนปากแพรก
ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนหัวปีของนายน้อยและนางกิมน้อย
คชวัตร
ภูมิประวัติในวัยเด็กของสมเด็จพระสังฆราชถือว่ามีความน่าสนใจยิ่ง
และอาจถือเป็นตัวอย่างความเป็น “ชาวสยาม” แต่ดึกดำบรรพ์ได้ดี
ด้วยสืบสาแหรกตระกูลมาจากหลายทิศหลายทางต่างชาติต่างภาษา
เริ่มจากวงศาคณาญาติฝ่ายบิดา กล่าวคือนายเล็กซึ่งเป็นปู่ของพระองค์สืบเชื้อสายทางหนึ่งมาจาก
“หลวงพิพิธภักดี(ช้าง)” ชาวกรุงเก่าหรือชาวอยุธยา
ขณะที่มารดาของนายเล็กชื่อนางจีนเป็นสาวชาวใต้จากเมืองตะกั่วทุ่ง
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดพังงา
ขณะที่วงศาคณาญาติฝ่ายมารดา คุณตาคือนายทองคำบิดาของนางกิมน้อย
เป็นคนเชื้อสายญวน ส่วนมารดาชื่อนางเฮงเล็กเป็นคนจีน แซ่ตัน
ดั้งเดิมบรรพบุรุษโดยสารเรือสำเภามาจากเมืองจีน เรือแตกก่อนถึงฝั่งเมืองไทย
แต่ก็รอดชีวิตมาขึ้นฝั่งเมืองไทยได้ แล้วจึงไปตั้งถิ่นฐานค้าขายอยู่เมืองกาญจนบุรี
ส่วนชื่อกิมน้อยซึ่งเป็นมารดาของเจ้าพระคุณก็เป็น “ภาษาญวน”
กิมแปลว่าเข็ม กิมน้อยก็คือ “เข็มน้อย” โดยญาติข้างฝ่ายมารดานี้ต่อมาใช้นามสกุลว่า
“รุ่งสว่าง”
ทรงเป็นพระอภิบาลในหลวง ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์พระบรมฯ
เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ 14 พรรษา ณ วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี
แล้วเข้ามาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จนพระชนมายุครบอุปสมบท
และทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทวสังฆารามในปี 2476
จากนั้นทรงอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติกนิกาย ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15
กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2476โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และยังคงฉายา “สุวฑฺฒโน” (มีความหมายว่าผู้เจริญดี)
ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ได้ประทานให้เมื่อครั้งเป็นสามเณร
Ref. http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9560000125123
สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของถนนปากแพรกและบ้านเดิมของท่านก็อยู่ที่นี่
ซึ่งเป็นบ้านอีกแห่งหนึ่งที่สามารถเรียนรู้เรื่องราวของท่านได้ที่นี่...ปากแพรก...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น